บทที่ 1 การเพิ่มผลผลิต

การเพิ่มผลผลิต (Productivity) หมายถึง อัตราส่วนผลผลิตจที่ได้ (Output) กับปัจจัยนำเข้า (Input) ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพและผลจากการทำงานของแต่ละบุคคลและองค์กร
การเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจและสังคม หมายถึง ความคิดที่จะหาทางปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมีความเชื่อว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้และวันพรุ่งนี่้จะดีกว่าวันนี้ เป็นความสำนึกทางจิตใจในเรื่องของการประหยัดทรัพยากร พลังงานและเงินตรา เพื่อความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
การเพิ่มผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง อัตราส่วนระหว่างปัจจัยการผลิตหรือนำเข้าที่เราใช้ เช่น แรงงาน วัตถุดิบ พลังงาน เครื่องจักรและอื่นๆ กับผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิต เช่น ตู้เย้น รถยนต์ โทรทัศน์ ธนาคาร การขนส่งและอื่นๆ แนวคิดนี้จะต้องมีการเพิ่มผลผลิตซึ่งทำได้ทั้งการวัดขนาดผลงานเป็นชิ้น น้ำหนักเวลา และการวัดเป็นตัวเงิน
ประสิทธิภาพ (Effectiveness) หมายถึง ความสามารถขององค์กรในการสร้างให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่กำหนด ในบางครั้งไม่ได้คำนึงถึงปริมาณของทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการ
ประสิทธิผล (Efficiency) หมายถึง ความสามรถในการบรรลุจุดมุ่งหมายโดยการใช้ทรัพยากรต่ำสุดคือ ใช้วิธีการโดยการจัดสรรทัพยากรให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด โดยมีคเป้าหมายคือประสิทธิผล
การผลิตนั้นไม่ได้หมายถึงเฉพาะปัจจัยนำเข้าทั้งหมดเท่านั้นที่จะออกมาเป็นผลผลิต จากการศึกษาพบว่า ร้อยละ95 เท่านั้นที่มีส่วนในการผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น ชั่วโมงการทำงานของพนักงานการทำงานของเครื่องจักร วัตถุและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในการผลิตเป็นปัจจัยนำเข้าที่แท้จริงส่วนที่เหลือถูกใช้ไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตนั่นคือ สูญเปล่า ซึ่งแตกเป็นสมการได้ดังนี้
การเพิ่มผลผลิต =  ผลิตผลที่ได้ (Output)
 ปัจจัยนำเข้าที่แท้จริง + การสูญเปล่า

จะเห็นได้ว่า การผลิตกับการสูญเปล่ามีความสัมพันธ์กัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้ การสูญเปล่ายิ่งมากก็จะต้องใช้ปัจจัยนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดการเพิ่มผลผลิต มิฉะนั้นก็ไม่อาจเพิ่มผลผลิตได้นอกจากนั้นในการเพิ่มผลิตก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการผลิต ถ้าผลผลิตนั้นสามารถทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงได้ ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มผลผลิต รวมทั้งการลดต้นทุนและการใช้ประโยชน์จากปัจจัยการผลิตให้มากขึ้น ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประกอบธุรกิจด้านต่างๆ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย การเพิ่มผลผลิตประกอบด้วย 2 แนวคิด คือ
1. แนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์

2. แนวคิดทางด้านเศรษฐกิจและสังคม


1. แนวคิดทางวิทยาศาสตร์

การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์คือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในการผลิตอย่างคุ้มค่า ซึ่งอาจใช้วิธีการลดต้นทุน ลดการสูญเสีย ปรับปรุงกระบวนการผลิตและมุ่งเนันการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มีวิธีการวัดการเพิ่มผลผลิตซึ่งสามารถทำได้ทั้งทางกายภาพ ( Physical Productivity ) คือ วัดขนาดของชิ้นงาน ปริมาณงาน น้ำหนักและเวลาในการผลิต การวัคุณค่า ( Value Productivity ) ซึ่งจะวัดมูลค่าเป็นจำนวนเงิน แนวทางการเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น4แนวทาง คือ

1) การเพิ่มผลผลิตโดยใช้ปัจจัยการเพิ่มผลผลิตเท่าเดิม

2) การเพิ่มผลผลิตโดยใช้ปัจจัยการผลิตลดลง

3) การรักษาผลผลิตเท่าเดิมแต่ลดปัจจัยการผลิตลง

4) การเพิ่มผลผลิตและเพิ่มปัจจัยการผลิตในอัตราส่วนที่ปัจจัยการผลิตต่ำกว่าการเพิ่มผลผลิต จะเห็นได้ว่า การเพิ่มผลผลิตไม่จำเป็นการเพิ่มปริมาณการผลิตแต่เพียงอย่างเดียวถ้าการเพิ่มปริมาณการผลิตในสภาวะที่ตลาดไม่ต้องการก็จะทำให้ไม่สามารถขายสินค้านั้นได้ ซึ้งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การเพิ่มผลผลิต อันจะส่งผลเสียต่อหน่วยงานที่ทำการผลิต

2.แนวคิดทางด้านการเศรษฐกิจและสังคม

ในทางเศรษฐกิจและสังคม การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถถึงระดับความสำเร็จของเป้าหมายพื้นฐานที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้นของประชาชน การเพิ่มผลผลิตยังแสดงถึงความมีศักยภาพในการดำเนินงานและการพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่นคงซึ่งส่งผลถึงการพัฒนาประเทศชาติอีกด้วย โดยยึดหลักการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การเพิ่มผลผลิตจึงเป็นการปรับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้ากับสภาวการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโดยใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะประยุกต์เทคนิคและวิธีการใหม่ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่หน่วยงานและสังคม รวมทั้งการมุ่งเน้นปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องของการประหยัดทรัพยากรพลังงานและเงินตราเพื่อความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าความหมายของการเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ ทางเศรษฐกิจและสังคมมีทั้งความหมายด้านแคบและด้านกว้าง ครอบคลุมรวบรวมหลายความคิด หลายกิจกรรม จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการร่วมมือกันปรับปรุงเร่งรัดการเพิ่มผลผลิตในทุกระดับเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชาติโดยรวม

การเพิ่มผลผลิตตามแนวความคิดนี้จึงเป็นลักษณะการปลูกฝังจิตสำนึกซึ่งเป็นความสามารถหรือพลังความก้าวหน้าของมนุษย์ในการที่จะแสวงหาแนวทางการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่า มนุษย์สามารถทำสิ่งต่างๆ ในวันนี้ให้ดีกว่าที่แล้วมา

2. เหตุผลของการเพิ่มผลผลิต
          การเพิ่มผลผลิตเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป ผู้บริหารต้องมีความเข้าใจในเรื่องการเพิ่มผลผลิตและให้การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตในขณะเดียวกันพนักงานต้องให้ความร่วมมือโดยการทำงานอย่างเต็มความสามารถและเพิ่มทักษะการทำงานให้สูงขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในแต่ละวันทุกคนต้องทำงานด้วยความตั้งใจและกระตือรือร้นเพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรของตนเอง เหตุผลที่ต้องมีการเพิ่มผลผลิต มีดังนี้

         1. ทรัพยากรที่จำกัด การเพิ่มผลผลิตเป้นเครื่องมือที่ทำให้เราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและนับวันจะน้อยลงให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสูญเสียน้อยที่สุด

         2. การเพิ่มผลผลิตเป้นเครื่องช่วยในการวางแผนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เช่น การกำหนดผลิตผลในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการเพื่อไม่ให้เกิดส่วนเกิน ซึ่งถือเป็นความสูญเปล่าของทรัพยากร

         3. การแข่งขัน บริษัทต่างๆจะอยู่รอดได้ต้องมีการปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอและการเพิ่มผลผลิตก็เป้นแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ซึ่งทำให้เราสู้กับคู่แข่งขันได้

         4. กำไร การเพิ่มผลผลิตเป้นการลดต้นทุน เพิ่มผลกำไรเพื่อจะนำไปแบ่งปันแก่ทุกคน ทั้งเจ้าของกิจการ พนักงาน และผู้ถือหุ้น

ผลลัพธ์ของการเพิ่มผลผลิต

          เมื่อทุกคนในองค์กรตั้งแต่ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร หัวหน้างาน พนักงาน ร่วมมือและช่วยกันเพิ่มผลผลิตแล้ว จะทำให้คุณภาพของสินค้าเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งมอบสินค้าตรงเวลา มีความปลอดภัยในการปฏิบัตงาน รวมทั้งขวัญและกำลังใจของพนักงานก็ดีขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเพิ่มผลผลิต การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตจึงมีผลกระทบแก่กลุ่มบุคคลทุกระดับ ทุกสาขา

          การเพิ่มผลผลิตช่วยให้พนักงานได้รับสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

          - มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการทำงานอย่างยุติธรรมและได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น

          - สภาพแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น

          - คุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น

          - ความมั่นคงในการทำงาน

          - การพัฒนาทักษะและความสามารถ

          ถ้ามีการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตแล้ว ผู้บริโภคจะได้รับสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

          - ซื้อสินค้าและบริการในราคาถูก เพราะการเพิ่มผลผลิตช่วยลดต้นทุนการผลิต

          - สินค้าและบริการมีคุณภาพสูงและมีให้เลือกมากขึ้น เนื่องจากการยกระดับการเพิ่มผลผลิต ผลผลิตที่ได้จึงมาจากการแข่งขันกันทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ

         การเพิ่มผลผลิตช่วยให้เกิดการลดต้นทุนและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำสิ่งต่อไปนี้คือ

         - ขยายรูปแบบการลงทุน เพื่อให้มีสินค้าและบริการเสนอตลาดมากขึ้น และส่งผลให้บริษัทมีรายได้เข้าบริษัทมากขึ้น

         - เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

         - เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการปรับปรุงคุณภาพสินค้า

         - เพิ่มโอกาสในการจ้างงาน

        เนื่องจากการเพิ่มผลผลิตทำให้ผู้ประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงส่งผลให้รัฐมีรายได้จากภาษีซึ่งจะนำมาพัฒนา ปรับปรุงสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มผลผลิตที่ถูกวิธีจะนำมาซึ่งสังคมที่น่าอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในองค์กร

3. ประเภทของการเพิ่มผลผลิต                                                                                     การเพิ่มผลผลิตแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ (1) งาน (2) เทคโนโลยี (3) พนักงาน (4) ผลิตภัณฑ์ (5) วัสดุ เทคนิคการเพิ่มผลผลิตประเภทต่างๆที่สำคัญมีดังนี้            
1. เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นงาน                                                                                                         
1.1.การศึกษาวิธีการทำงาน เป้นกระบวนการที่เป็นระบบเพื่อพัฒนาปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาการทำงานประกอบด้วยเทคนิคหลัก 2 อย่างคือ                                                           
1.1.1 การศึกษาวิธีการทำงานหรือวิศวกรรมวิธีการหรือการทำงานให้งานง่ายขึ้นหรือการปรับปรุงหรือการออกแบบงาน เป็นการบันทึกหรือวิเคราะห์วิธีทำงานโดยมุ่งที่จะกำจัด รวมสลับลำดับหรือลดงานในขั้นตอนต่างๆ การศึกษาวิธีทำงานที่รู้จักกันดีมี 8 ขั้นตอน ซึ่งอาจเรียกว่า เป็นบันได 8 ขั้น ในการศึกษาวิธีทำงาน คือ

  1. เลือกงานสำคัญที่เหมาะแก่การศึกษา โดยพิจารณางานที่จำเป็น เป็นปัญหาคอคอดในสายการทำงาน มีของสิ้นเปลืองสูง คุณภาพงานไม่สม่ำเสมอ ซ้ำซาก จำเจ ทำให้เหนื่อยล้ามากหรือมีการทำงานล่วงเวลาบ่อย เป็นต้น

  2. บันทึกโดยตรง หมายถึง การใช้แผนภูมิหรือแผนภาพมาตรฐานที่เหมาะสมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีทำงาน เช่น แผนภูมิกระแสกระบวนการในรูปที่ 1.3

  3. ลงมือตรวจตรา วิเคราะห์วิธีทำงานที่เป็นอยู่ โดยใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 6 W 1 H หรือปุจฉาวิสัชนา กล่าวคือ วิเคราะห์แต่ละขั้นตอนว่า ทำอะไร (What) ทำที่ไหน (Where) ทำเมื่อไร (When) ใครเป็นคนทำ (Who) ทำอย่างไร (How) ทำไมต้องทำ ทำไมต้องทำที่นั่น ทำไมต้องทำวันนั้น ทำไมต้องเป็นคนนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น (Why) มีอะไรอย่างอื่นที่ทำได้ทำที่อื่น เวลาอื่น คนอื่น วิธีอื่น (Which)
เป้าหมายในการวิเคราะห์ตรวจตราก็เพื่อกำจัด รวมหรือสลับลำดับงานในขั้นตอนต่างๆ ที่พิจารณาจนกระทั่งเหลือแต่งานที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น จากนั้นก็มุ่งทำให้งานส่วนที่ยังเหลืออยู่ทำได้ง่ายขึ้น

                 4. พัฒนาวิธีใหม่ เป็นขั้นตอนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ค้นหาวิธีการใหม่ที่ดีที่สุดที่จะทำได้ในสภาวการณ์ที่เป็นอยุ่ จะต้องมีการบันทึกและตรวจตราวิธีการที่เสนอแนะใหม่เช่นกันเพื่อเปรียบเทียบกับวิธีการเดิม

                  5. วัดให้รู้จริง หาตัวเลขข้อมูลการประหยัดการเคลื่อนไหวและเวลาที่ได้ เพื่อคำนวณความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจของโครงการปรับปรุงที่เสนอแนะ เสนอให้ฝ่ายบริหารพิจารณา

                  6. ทุกสิ่งที่นิยามไว้ กำหนดวิธีการทำงานที่เสนอแนะเพื่อใช้อ้างอิงในทางปฏิบัติรวมถึงการกำหนดอุปกรณ์ วัสดุ เงื่อนไขและผังสถานที่ทำงานให้ชัดเจน                                                                                      7. ใช้งานเป็นประจำ นำวิธีการทำงานแบบใหม่ไปปฏิบัติโดยต้องได้รับการเห็นชอบจากฝ่ายบริหารและการยอมรับจากคนงานและหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องต่อการเปลี่ยนแปลงที่ขะมีขึ้น ขั้นตอนนี้ครอบคลุมถึงการฝึกหัดพนักงานตามวิธีใหม่และการติดตามดูความก้าวหน้าในการทำงานจนได้ระดับที่น่าพอใจ

                  8. ดำรงซึ่งไว้วิธี คอยตรวจสอบการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ปรับปรุงอาจกำหนดสิ่งจูงใจในการทำงานด้วยวิธีใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นหากเล็งเห็นว่าควรมีวิธีการปรับปรุงอีกก็ออาจพิจารณาปรับปรุงต่อไป

                  การวัดงานหรือการศึกษาเวลา เป็นขั้นตอนที่มักจะตามหลังการศึกษาวิะีการทำงาน การวัดงาน หมายถึง การหาเวลามาตรฐานในการทำงานตามขั้นตอนต่างๆ โดยใช้วิธีที่กำหนด ภายใต้สภาพเงื่อนไขในการทำงานที่กำหนด ปัจจุบันเทคนิคนี้เป้นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปในธุรกิจและอุตสาหกรรมเพราะข้อมูลเวลาที่ได้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่นำไปใช้กันที่วไปในธุรกิจและอุตสาหกรรมปัจจุบัน และนำไปใช้ประโยชน์ในสายการผลิตได้มากมาย เช่น ใช้กำหนดการผลิต ควบคุมต้นทุนค่าแรง จัดเตรียมงบประมาณ วางแผนกำลังคน จัดดุลในสายการผลิต เป็นต้น

                  หลักการของการวัดงาน คือ แบ่งการปฏิบัติงานออกเป็นงานย่อยที่ชัดเจน กำหนดเวลางานให้กับงานย่อยแต่ละอัน วิธีกำหนดเวลาทำงานอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้

                  1. การจับเวลาโดยตรงซึ่งอาจใช้นาฬิกาจับเวลาหรืออุปกรณ์อื่นใดที่เหมาะสม

                  2. การสุ่มงานตามหลักการสุ่มตัวอย่างทางสถิติ

                  3. การใช้ระบบการเคลื่อนไหวเวลาที่พิจารณาไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีใช้ในเชิงพาณิชย์สามารถเลือกได้หลายระบบ

                  4. การใช้สูตรคำนาณกำหนดเวลาจากข้อมูลการศึกษาในอดีต                                                                    การวัดงานเป็นงานใหญ่ที่สิ้นเปลืองและใช้ความพยายามมาก ดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการควรให้แน่ใจเสียก่อนว่างานต่างๆ ในหน่วยงานพร้อมที่จะศึกษาเรื่องเวลาหรือยัง โดยดูการใช้วิธีการทำงานที่ได้มาตรฐาน สภาพการทำงาน วัสดุ อุปกรณ์และคุณภาพของงานเป็นที่น่าพอใจ และผู้ปฏิบัติงานได้รับการฝึกฝนเพียงพอแล้ว ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีผู้ศึกษาเวลาที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เวลาวัดได้จึงจะน่าเชื่อถือ
1.การยศาสตร์ (Ergonomics)  หรือวิสวกรรมปัจจัยมนุษย์ เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการปรับสภาพการทำงานให้เข้ากับสมรรถภาพการทำงานของมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจวัตถุประสงค์เบื้องต้นของการยศาสตร์ ได้แก่ การปรับการเรียกร้องความต้องการในการทำงานให้เข้ากับประสิทธิภาพของคนเพื่อที่จะลดความเครียด การออกแบบเครื่องจักรอุปกรณ์และสภาพสถานที่ทำงานเพื่อให้ร่างกายอยู่ในท่าที่ถุกต้อง การปรับแสง การปรับอากาศ เสียง และสภาพแวดล้อมต่างๆให้เข้ากับสภาพทางกายและใจของคน
           ผลที่ได้จากการประยุกต์ใช้หลักการยศาสตร์ คือ การทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในสภาพการทำงาน อันจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตในที่สุด จะเห็นว่าการยศาสตร์ครอบคลุมหัวข้อต่างๆอย่างกว้างขวางทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อม การศึกษาเรื่องนี้จึงต้องอาศัยความรู้จากสาขาวิชาต่างๆ เช่น กลศาสตร์ การแพทย์
2.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นเทคโนโลยี 
2.1การออกแบบดดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer - Aided Design, CAD) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตในการออกแบบและเขียนแบบผลิต๓ัณฑ์หรือกระบวนการต่างๆ ระบบ CAD ช่วยเวลาและต้นทุนช่วยเพิ่มคุณภาพในการพัฒนาแบบผลิตภัณฑ์
2.2การผลิตโดยใช้คอมพิวเตอร์(Computer - Aided Manufacturing,CAD) เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกแบบ วางแผนและกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดดุลในสายการผลิตจัดกำหนดการและลำดับการทำงานของเครื่องจักร รวมทั้งการวางแผนกำลังผลิต นอกจากนี้ยังหมายถึงการใช้เครื่องจักรผลิตที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ระบบ CAM ช่วยลดเวลาในการวางแผน และทำให้แผนที่ได้เที่ยงตรงขึ้น 
2.3การผลิตแบบประสานด้วยคอมพิวเตอร์(Computer - Integrated Manufacturing,CAD)เป็นระบบ CAD/CAM ที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบและเป็นระบบข้อสนเทศที่เชื่อมตลอดตั้งแต่การตลาดไปจนถึงการส่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ระบบ CIM จะช่วยลดเวลาในการผลิต ลดของเสีย เพิ่มความเที่ยงตรงในการผลิตและที่สำคัญที่สุดคือสามารถเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตได้ง่าย ระบบ CIM จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในเชิงกลยุทธ์ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากแล้ว ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทอีกด้วย
2.4ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing System,FMS)ช่วยให้สามารถผลิตส่วนต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันครั้งละน้อยชิ้นได้โดยใช้อุปกรณ์ชุดเดียวกัน ระบบ FMS สามารถสร้างโปรแกรมใหม่ได้รวดเร็วโดยสั่งผ่านคอมพิวเตอร์กลางไปยังเครื่องจักรแต่ละเครื่องเพื่อให้สายพานและอุปกรณ์หยิบชิ้นส่วนทำงานชุดใหม่ ประโยชน์ที่ได้คือความยืดหยุ่นในการมอบหมายทรัพยากรผลิตภายใต้การควบคุมของคอมพิวเตอร์
2.5หุ่นยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ให้ทำงานต่างๆตามลำดับขั้นตอนตามแต่จะกำหนดโปรแกรมไว้ ในปัจจุบันมีการใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมพ่นสี ประกอบและเชื่อม เป็นต้น หุ่นยนต์สามารถเพิ่มผลผลิตย่อยและผลผลิตรวมได้ เนื่องจากสามารถทดแทนแรงงานในงานที่หนักหรืองานที่ทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยไว้ด้วยความแม่นยำและเที่ยงตรงกว่าแรงงานมนุษย์

2.6 เทคโนโลยีกลุ่ม (Group Technology) เป็นการจัดการและวางแผนแบ่งประเภทชิ้นส่วนในการผลิตให้เป็นหมวดหมู่ตามขนาด รูปร่าง ลักษณะของกระบวนการที่ใช้ผลิต และการวางตั้งเครื่องที่ต้องการ การใช้เทคโนโลยีกลุ่มทำให้สามารถลดจำนวนชิ้นส่วนใหม่ลงไป ชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องผลิตก็ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับระบบผลิต และทำให้มีการวางแผนการผลิตซึ้งตะช่วยลดจำนวนอุปกรณ์จับชิ้นงาน อุปกรณ์วัดขนาดและจำนวนเส้นทางของกระแสการผลิตลงได้ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เวลาตั้งเครื่องโดยรวมลดลงอีกด้วย การใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้พัฒนาระบบการผลิตแบบประสานด้วยคอมพิวเตอร์ CIM และระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น FMS ได้ง่ายขึ้น

2.7 การประหยัดพลังงาน เป็นความพยายามอย่างเป็นระบบที่จะลดการใช้พลังงานโดยไม่ลดปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เริ่มต้นตั้งแต่การตรวจสอบพนักงาน การพัฒนาวิธีประหยัดพลังงานในด้านต่างๆ การดำเนินการตามแผนประหยัดพลังงาน การติดตามตรวจความก้าวหน้า ไปจนถึงการรายงานถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้ทรัพยากรต่างๆ อันเป็นผลจากการประหยัดพลังงาน

2.8 การจัดสภาพแวดล้อม การแก้ปัญหาภาวะมลพิษที่ต้นเหตุด้วยการลดปริมาณของเสียและใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ในปัจจุบันการลดของเสียอาจทำได้สองทาง คือ ลดการใช้วัสดุและลดการใช้สารที่เป็นอันตรายในการผลิต การจัดการสภาพแวดล้อมด้วยวิธีการปรับปรุงวิธีผลิต นอกจากจะช่วยลดมลพิษแล้วยังเป็นการเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี

3.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นพนักงาน

3.1 กิจกรรมกลุ่ม การใช้กิจกรรมเป็นวิธีที่ได้พัฒนาไปอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และต่อมาได้แพร่หลายไปทั่วโลกรวมในประเทศไทยด้วย กิจกรรมกลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มควบคุมคุณภาพ 5ส ความปลอดภัยและระบบข้อเสนอแนะ มุ่งปลูกฝังให้พนักงานรู้จักทำงานเป็นทีม เรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหา มีวินัย รักความเรียบร้อย มีความคิดสร้างสรรคและตระหนักว่าการเพิ่มผลผลิตเป็นหน้าที่ทุกคนและเป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างบุคคล องค์กรและประเทศชาติ

      กลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circle QCC) เป็นการทำงานเป็นทีมโดยกลุ่มอาสาสมัครพนักงานกลุ่มละ 4-5 คนร่วมกันแก้ปัญหาการผลิต คุณภาพสภาพแวดล้อมในการทำงาน การซ่อมบำรุง แนวคิด QCC พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง มีลักษณะเด่นอยู่ที่การใข้เทคนิคการระดมสมองเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มแสดงความคิดสร้างสรรค์ และใช้เทคนิคจำพวกผังก้างปลา เพื่อแสดงข้อมูลทางสถิติมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา

โดยที่ QCC เน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานระดับล่าง ในตอนหลังจึงมีการนำระบบควบคุมคุณภาพเชิงรวม (Total Quality Control, TQC) มาใช้เพื่อให้พนักงานทุกคนทุกระดับชั้นมีส่วนร่วมด้วยระบบ TQC ซึ่งเป็นการมองคุณภาพในความหมายกว้างกว่า คุณภาพนอกจากจะหมายถึง

คุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว ยังหมายรวมถึงเงินซึ่งได้แก่ ต้นทุนและราคาขาย การส่งมอบให้ถูกสถานที่ ถูกเวลาและในปริมาณที่ถูกต้อง ความปลอดภัยของผู้ใช้ขวัญและกำบังมจของพนักงานทั้งนี้โดยถือว่า QCC เป็นส่วนหนึ่งของTQC ที่จะสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าเเละเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้หน่วยงานอยู่รอดต่อไปได้

สำหรับกิจกรรม 5 ส.ความปลอดภัยและระบบข้อเสนอนั้นเป็นแนวกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมสร้างเสริมคุณภาพเช่นกัน 5ส.เป็นกิจกรรมที่ใช้จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานโดยใช้หลักการ5ประการ คือ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะและสร้างนิสัย แนวคิดก็คือ  การสะสางปรับปรุงสถานที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดและถูกสุขลักษณะ เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่พนักงาน เข้าใจกันว่ามีการนำกิจกรรม 5ส.  จากญี่ปุ่นมาใช้ในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2518. โดยบริษัทไทยบริดจ์สโตน จำกัด จากนั้นก็มีการนำกิจกรรมนี้ไปใช้กันอย่างกว้างขวางในการสร้างจิตสำนึกให้พนักงานโดยมีเป้าหมายในการลดอุบัติเหตุและขจัดสาเหตุของความไม่ปลอดภัย 5ส.  และกิจกรรมความปลอดภัยมีความเกี่ยวข้องกันมากจนอาจพูดได้ว้าเป็น"คนละเรื่องเดียวกัน"ส่วนระบบข้อเสนอแนะเป็นกิจกรรมที่เริ่มได้ง่ายที่สุดในหน่วยงานต่างๆด้วยการจัดกล่องรับข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการดำเนินงานจากพนักงาน ระบบข้อเสนอแนะที่ดีจะต้องมีการตอบสนองข้อเสนอแนะอย่างรวดเร็ว หน่วยงานอาจพิจารณาให้รางวัลแก่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้พนักงานสร้างสรรค์ความคิดมาเสนอ

หน่วยงานที่ต้องการนำกิจกรรมกลุ่มไปใช้ในตอนแรกควรเริ่มจากกิจกรรมง่ายก่อนแล้วพิจารณานำเอากิจกรรมที่ซับซ้อนขึ้นมาปฏิบัติเป็นลำดับต่อไปคือ เริ่มจากระบบข้อเสนอแนะแล้วจึงนำเอาระบบความปลอดภัย 5ส. และกลุ่มควบคุมคุณภาพเข้ามาใช้ตามลำดับ การปฏิบัติควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการวางแผน วัดผล ประเมินผลและรายงานผลเป็นระยะๆ  จึงจะได้ผลสุดท้ายที่ต้องการนั่นคือ การเพิ่มผลผลิตของหน่วยงาน

3.2ระบบค่าแรงจูงใจ ระบบให้เงินเพิ่มตามผลงานเพื่อเป็นเรื่องกระตุ้นให้พนักงานเพิ่มผลผลิต มีใช้มาตั้งแต่สมัยเทเลอร์แล้ว ระบบค่าจูงใจอาจพิจารณาได้ตามพื้นฐานหลายอย่างเช่น คุณภาพงาน การใช้พลังงาน การใช้วัสดุ การใช้อุปกรณ์หรือปริมาณผลผลิตเป็นต้น แต่ปริมาณผลผลิตเป็นเกณฑ์ที่ใช้กันมากที่สุด ปัจจุบันมีแบบการให้ค่าเเรงจูงใจให้เลือกใช้หลายแบบเช่น ระบบค่าแรง รายชิ้นหรือรายเหมา ระบบโบนัสเป็นต้น นอกจากนั้น แทนที่จะใช้ระบบสำหรับพนักงานแต่ละคนอาจให้เป็นรายกลุ่มก็ได้

4.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นผลิตภัณฑ์

4.1วิศวกรรมคุณค่า(Value Engineering, VE) เป็นวิธีการที่เป็นระบบในการพัฒนาดัดแปลงแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อให้ได้ประโยชน์ใช้สอยได้ดีขึ้น โดยที่ต้นทุนการผลิตต่ำVE ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท General Electric แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1947ต่อมาประมาณปี ค.ศ. 1960. ได้มีการนำไปใช้อย่างกว้าขวางในประเทศญี่ปุ่น ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น คำว่า"คุณค่า"ในทางVE หมาถึง สมดึลระหว่างหน้าที่ใช้งานกับต้นทุน โดยเขียนได้ว่า
คุณค่า = หน้าที่ใช้งาน

ต้นทุน

กิจกรรม VE เน้นการทำงานเป็นกลุ่ม ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไป คือ เลือกผลิตภัณฑ์หือบริการที่ต้องพิจารณา รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์หน้าที่ใช้งาน สรรค์สร้างความคิดในการปรับปรุง ประเมินข้อเสนอแนะ ทดสอบและนำไปปฏิบัติ ปัจจุบันมีตัวอย่างมากมายในการใช้ VE เพื่อปรับปรุงคุณค่าและเพิ่มผลผลิตในหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

4.2 การใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน การใช้มาตรฐานเดียวกันสำหรับผลิตภัณฑ์เป็นเทคนิคการเพิ่มผลผลิตที่สำคัญ เพราะช่วยลดต้นทุนในการผลิตและพัสดุคงคลังไปได้มาก การใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานหมายถึง การออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยใช้ชิ้นส่วนเดียวกัน เท่าที่จะเป็นไปได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากความพยายามนี้คือ อุปกรณ์ในการผลิตทำได้ง่ายขึ้นและราคาถูกลง ควบคุมพัสดุคงคลังของชิ้นส่วนต่างๆ ได้สะดวกขึ้น ร้านค้าปลีกสามารถจัดอะไหล่ผลิตภัณฑ์มาตรฐานจะไม่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ก็จะถูกลงด้วย แต่การใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานจะไม่เกิดขึ้นเองอัตโนมัติ นอกจากฝ่ายบริหารจะมีนโยบายที่เด่นชัดในเรื่องนี้ออกมา

5.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นวัสดุ

5.1 การจัดการวัสดุ การจัดการวัสดุ คือการวางแผน ออกแบบ และจัดระบบวัสดุเพื่อให้มีใช้ในปริมาณที่ต้องการ ณ เวลาที่กำหนด ระบบวัสดุครอบคลุมถึงการจัดซื้อ การจัดส่ง และเคลื่อนย้ายวัสดุภายในหน่วยงาน ตลอดจนการเก็บรักษาวัสดุ ระบบวัสดุที่มีประสิทธิภาพจะทำให้สามารถบอกได้ว่าวัสดุรายการใดมีการเกินไปและรายการใดที่ต้องการมากหรือน้อย สามารถรายงานสถานภาพวัสดุได้อย่างรวดเร็วถูกต้อง แม่นยำ โดยสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้านวัสดุน้อยที่สุด ผลที่ได้จึงเป็นการเพิ่มผลผลิตด้านวัสดุโดยเฉพาะเจาะจง

เนื่องจากมีวัสดุมากมายหลายชนิดแม้ในบริษัทขนาดกลาง จึงไม่สามารถที่จะควบคุมวัสดุทุกชนิดได้อย่างใกล้ชิด การวิเคราะห์ ABC จะช่วยแบ่งรายการวัสดุออกเป็น 3 ประเภท คือ A B และ C โดย A เป็นรายการที่มีมูลค่าใช้สูง B เป็นรายการที่มูลค่าปานกลาง และ C เป็นรายการที่มีคุณภาพต่ำ เมื่อแบ่งเช่นนี้แล้วรายการ A จะได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิด รายการจำพวก B ดูแลพอสมควรและรายการ C ไม่ต้องดูแลมาก ดังนั้นการวิเคราะห์ ABC จึงช่วยแยกวัสดุสำคัญซึ่งมักจะมีอยู่ไม่กี่อย่างออกจากวัสดุธรรมดาซึ้งปกติจะมีมากอย่าง

นอกจากจะใช้มูลค่าการใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งวัสดุแล้ว บางครั้งยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่นด้วย เช่น ความยากลำบากในการจัดหาวัสดุ ปัญหาการลักขโมย ปัญหาการเสื่อมสภาพและความล้าสมัยของบางรายงาน วัสดุบางอย่างอาจต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บมาก บางชนิดอาจมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต วัสดุเหล่านี้จึงอาจต้องได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
ให้สังเกตการวิเคาระห์ ABC นั้นนำไปใช้กับรายการที่มีความต้องการใช้เป็นเอกเทศจากรายชื่ออื่น สำหรับวัสดุที่มีความต้องการใช้ร่วมกัน เช่น ชิ้นส่วนต่างๆ ของผลิตภัณฑ์หนึ้งต้องจัดการด้วยระบบวางแผนความต้องการวัสดุ(Material Requirement Planning,MRP)ซึ้งจะกล่าวในหัวข้อ 5.2 สำหรับวัดุประเภท A ทีต้องการควบคุมอย่างไกล้ชิดนั้น ควรใช้ระบบควบคุมพัสุคงคลังเพื่อกำหนดปริมาณการสั่งที่ถูกหลักเศรษฐกิจ(Economic Order Quantity.EOQ) และเวลาที่จะต้องสั่งพัสดุเข้ามาเพิ่มเติมในคลังสินค้า ระบบคุมพัสดุคงคลังมีให้เลือกหลายแบบ เช่น ระบบต่ำสุด-สูงสุด ระบบกำหนดช่วยเวลาตรวจคงที่ เป็นต้น การเลือกใช้ระะบบใดระบบหนึ่งจะต้องดูความเหมาะสมของสมมุติฐานที่รองรับโดยเทียบกับความเป็นจริงของหน่วยงาน ที่สำคํยจะต้องคอยปรับเปลื่ยนค่า EOQ และจุดที่ต้องสั่งเพิ่มตามสภาวการณ์ที่เปลื่ยนไปอยู่เสมอด้วย. 5.2 ระบบว่างแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirement Planning,MRP) เป็นเทคนิคการวางแผนและควบคุมวัสดุชนิดต่างๆที่มีความต้องการใช้อยู่ร่วมกัน MRP ใช้ได้ดีในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการประกอบชิ้นส่วนดป็นหลักแต่อุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นการประกอบ เช่น อุตสาหกรรมยา อาหาร เคมี และผ้า ก็อาจนำ MRP มาใช้อย่างได้ผลในการควบคุมลำดับความสามารถสำคัญของวัสดุและกำลังการผลิต

ระบบ MRP ทำงานโดยข้อมูลสามชุด คือ

1. แผนกหารผลิต ซึ่งแสดงอุปสงค์ของสินค้าสำเร็จรูปที่ต้องการตลอดระยะเวลาที่วางแผน

2. รายการวัสดุ ซึ่งใช้สำหรับการแตกรายการสินค้าสำเร็จรูปในแผนการผลิตหลักให้เป็นชิ้นส่วนและส่วนประกอบย่อย และ

3. บันทึกสถานภาพพัสดุคงคลังซึ่งระบุจำนวนชิ้นส่วน ส่วนผประกอบย่อยและสินค้าสำเร็จรูปในคลัง รวมถึงปริมาณที่อยู่ระหว่างการสั่ง เวลานำไปใช่้นับจากการสั่งถึงกำหนดส่งและปริมาณสต็อกกันชนที่เผื่อเอาไว้กรณีของมาล่าช้า

จากข้อมูลทั้ง3ชุด MRP จะช่วยคำนวนเวลาที่จะต้องสั่งชิ้นส่วนต่างๆ และแจ้งรายการเปลี่ยนแปลงกำหนดการผลิตตามที่จำเป็น MRP จึงเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมที่จะช่วยป่องกันของขาดหรือของเกินโดยทำนายไว้ล่วงหน้า ทำให้สามารถลดเงินที่ต้องลงทุนไปในพัสดุคงคลังและเพิ่มผลผลิตทางด้านวัสดุ

ในระยะหลังนี้นิยมมอง MRP ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการวางแผนการผลิตทั้งหมด การวางแผนทรัพยากรการผลิต (Material Resource Planning, MRP) MRP II เป็นระบบที่ประสานหน้าที่การทำงานต่างๆของธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้าเป็นระบบเดียว โดยดึงเอาการขายการจัดซื้อ การเงิน วิศวะกรรม เข้ามาประกอบกับกระบวนการวางแผนและควบคุมการผลิตที่เป็นแกนกลาง

          5.3 ระบบทันเวลาพอดี (Just In Time, JIT) เป็นระบบบริหารงานผลิตซึ่งประกอบด้วย (1) การขจัดความศูญเปล่าในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการผลิตมากเกินความต้องการ การรอคอย การขนส่ง ความซับซ้อนในกระบวนการผลิต การจัดการวัสดุ การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และผลผลิตที่บกพร่อง (2) การควมคุมกระแสวัสดุเพื่อลดเวลาในการนำจากจุดสั่งซื้อจนถึงจุดที่วัศดุไปถึงสายการผลิต และ (3) การเปิดโปงและกำจัดที่ต้นตอปัญหาแทนที่จะไปจัดการที่ปลาย ระบบ JIT วิเคราะห์บริษัททั้งบริษัทและพิจารณาปัจจัยทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อเวลาที่ใช้ในการผลิต คุณภาพ ผลิตภัณฑ์ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การมองภาพรวมเช่นนี่้ หมายความว่า จะต้องมีการร่วมแรงร่วมใจทุุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายจัดการจะต้องใช้ความสำคัญและสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อจะนำ JIT ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ JIT กับ TQC ในหัวข้อ 3.1 มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ระบบ TQC มีวัตุประสงค์หลักที่จะกำจัดความสูญเปล่าด้วยการตัดความแปรปวนในการผลิตให้เหลือน้อยที่สุดทั้ง JIT และ TQC จะเริ่มจากเป้าหมายร่วมกันในการกำจัดความสูญเปล่่า ทั้งสองวิธีส่งผลให้เกิดการเพิ่มผลผลิตทั้งหน่วยงาน TQC เป็นสิ่งต้องกระทำก่อนที่หน่วยงานจะรับเอาภาระระบบ JIY มาใช้  

4.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิต
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตขององค์กรที่สำคัญได้แก่

    1.นโยบาย (Policies) หมายถึง แนวทางที่รัฐกำหนดขอบเขตครอบคลุมถึงเป้าหมายของรัฐในการที่จะเร่งรัดพัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง การจ้างงานบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรมและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่รัฐกำหนดดังนั้นรัฐจะต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมและกระทำอย่างต่อเนื่องในเรื่องต่างๆดังนี้

        -การวางแผนรวมการใช้สาธารณูปโภค ความคงที่ในเรื่องราคาและฐานภาษี

        -การส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อเพื่อการทดแทนการนำเข้า

        -การเปลี่ยนแปลงแบบแผนความต้องการภายในประเทศ

        -มีความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานการแข่งขันอย่างเสรี

        -การสร้างความเจริญก้าวหน้า จะต้องควบคู่ไปกับการศึกษาและการรักษาสภาพแวดล้อม

    2.ทรัพยากร (Resources) หมายถึง ทรัพยากรทั้งหลายที่ใช้ประดยชน์ในทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบต่อการเพิ่มผลผลิตทั้งสิ้น ได้แก่

       -ทรัพยากรธรรมชาติ

       -ทรัพยากรบุคคล

       -ทรัพยากรทางด้านการเงิน

       -เทคโนโลยีทางด้านการผลิต

       -การจัดองคืการและการบริหารงานการผลิต

     3.ค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรม จะรวมถึงจริยธรรมในการทำงานและทัศนคติของบุคคล เช่น ค่านิยมส่วนบุคคล และทัศนคติของคนในสังคมที่เรียกว่า ค่านิยมของสังคมซึ่งมีผลต่อการเพิ่มผลผลิตทั้งสิ้น

         ทัศนคติที่เกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตในการผลิตนั้น ส่วนมากแล้วผู้ผลิต โรงงาน หรือบริษัทใหญ่ๆ มักจะมีปัญหาจากทัศนคติการทำงานด้านการผลิตอย่างมาก อาจสรุปได้ดังนี้

          ไม่เป็นไร คำว่า ไม่เป็นไร นี้ถ้าใช้กับสภาวการณ์อื่นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเมื่อนำมาใช้ในการผลิต ผลกระทบจะตามมาอีกมาก เพราะการผลิตนั้นเป็นกระบวนการทำงานอย่างมีขั้นตอนและมีฝ่ายต่างๆ มาเกี่ยวข้อง โรงงานอุตสาหกรรมต้องมีเครื่องมือ เครื่องจักรในการทำงานและเครื่องป้องกันอันตราย เช่น งานเชื่อม แม้จะเป็นงานชิ้นเล็กๆ พนักงานอาจเห็นว่าเป็นงานเชื่อมเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เครื่องป้องกัน คิดว่าไม่เป็นไร

           เอาไว้ก่อน เป็นคำพูดในลักษณะผัดผ่อน บางกรณีเป็นความจำเป็นเร่งด่วนต้องรีบเร่งจัดทำไม่ควรใช้คำว่า เอาไว้ก่อน ได้ เช่น เครื่องจักรไม่ทำงานหรือชำรุด ผู้ควบคุมเครื่องจักรไม่ทราบว่าควรจะแก้ไขอย่างไร และถ้าไม่ทำการแก้ไขอาจทำให้การผลิตไม่ทันตามกำหนดเวลาหรือทันตามความต้องการของลูกค้า พนักงานผู้ควบคุมเครื่องจักรจึงต้องไปแจ้งหัวหน้าช่างซึ่งไม่เห็นความสำคัญ คิดว่าเป็นเพียงเล็กน้อย โดยที่หัวหน้าช่างอาจบอกว่า เอาไว้ก่อน พนักงานกลัวความผิดที่จะผลิตไม่ทันตามกำหนด

         เกรงใจ เป็นคำพูดที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยากได้ ความเกรงใจนั้นเผ็นสิ่งที่ดี แต่การเกรงใจนั้นจะต้องให้ถุกกับโอกาสด้วย เช่น ผุ้จัดการฝ่ายตรวจบัญชีพบข้อบกพร่องต่างๆ จึงโทรศัพท์ไปตามหัวหน้าสต็อกมาพบ พนักงานร้านรับโทรศัพท์ก็รับปากไว้โดยมิได้บอกหัวหน้าสต็อกซึ่งกำลังคุยเรื่องส่วนตัวจนเวลาล่วงเลยทำให้ตรวจสอบบัญชีไม่ได้ เมื่อฝ่ายบัญชีโทรศัพท์มาที่พนักงานรับโทรศัพท์ พนักงานกลับบอกว่าเกรงใจหัวหน้าสต็อก จึงเป็นเหตุให้งานติดขัด อย่างนี้เรียกว่าเป็นความเกรงใจที่ไม่ถูกเวลา

         แค่นี้ก้อดีแล้ว เป็นคำพูดที่ไม่ใส่ใจในกิจกรรมนั้นเท่าที่ควร ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการ การผลิตจะผลิตให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและส่งมอบตามกำหนด ถ้าฝ่ายผลิตผลิตมาดีแล้ว กำหนดส่งสินค้าฝ่ายสต็อกสินค้าไม่จัดส่งตามกำหนด ทำให้สินค้าอยู่ในสต็อกนานเกินไป เมื่อมีการตรวจสอบ สินค้าอาจหมดอายุ ฝ่ายสต็อกบอกว่าเป็นความผิดของลูกค้าที่ไม่มารับตามกำหนด ดูแลให้แค่นี้ก้อดีแล้ว ถ้าเป็นลักษณะนี้ ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นแก่องค์กร ซึ่งอาจทำให้องค์กรขาดความเชื่อถือจากลูกค้าก็เพราะคำว่า แค่นี้ก็ดีแล้ว

          การทำงานด้วยความ ชุ่ยๆ การทำงานที่ได้ผลดีนั้นจะต้องทำงานตามกฎระเบียบวินัยและทำงานตามโครงสร้างของแผนงานนั้น งานแต่ละฝ่ายอาจเกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยตัวของมันเอง เช่น งานด้านการผลิตต้องมีฝ่ายวัตถุดิบ ฝ่ายผลิต และฝ่ายตรวจสอบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ฝ่ายวัตถุดิบจัดหาและป้อนวัตถุดิบไปยังฝ่ายผลิต ฝ่ายผลิตจะทำหน้าที่ผลิต เสร็จแล้วฝ่ายตรวจสอบจะตรวจสอบว่า ตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ถ้าสินค้าดังกล่าวบกพร่องฝ่ายตรวจสอบจะทำการคัดออกทันที แต่ถ้าฝ่ายตรวจสอบไม่ทำการคัดออกโดยมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นความชุ่ย ซึ่งจัดว่าเป็นการทำลายหน่วยงานนั้นเพราะจะทำให้ขาดความเชื่อถือลงไป

             การส่งมอบของที่เสียหายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้บริษัท โรงงานผู้ผลิตไม่เป็นที่เชื่อถือของลูกค้าอีกต่อไป โอกาศที่บริษัทจะดำเนินงานก้าวหน้าก็ไม่อาจกระทำต่อไปได้ดังนั้น ถ้าการผลิตเกิดการเสียหายและถึงเวลากำหนดไว้กับลูกค้า จึงไม่ควรจะจัดส่งมอบสินค้าที่เสียหายให้ลูกค้าเพราะการเกรงใจลูกค้าจะไม่มีสินค้าขาย บริษัทหรือโรงงานผู้ผลิตควรแจ้งลูกค้าพร้อมกับการขอโทษและขอชะลอการส่งมอบสินค้าออกไปจะดีกว่า ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในองค์กร และเชื่อถือในสินค้าที่ผลิตออกมาว่ามีคุณภาพตรงตามความต้องการ

            จรรยาบรรณการทำงาน ไม่ว่าพนักงานตำแหน่งใด หน่วยงานใด หรือองค์กรใด จะต้องคำนึงและยึดหลักว่า ปฏิบัติตามหน้าที่เป็นหลักและสร้างจรรยาบรรณในตัวเอง ถ้ามีปัญหาใดก็ต้องรีบทำการแก้ไขก่อนที่จะมีผลกระทบต่องานในหน้าที่

           หน่วยงานหรือองค์กรผู้ผลิตนั้นจะต้องคำนึงอยู่เสมอว่า สินค้าจะต้องดีและมีคุณภาพ และพยายามทำการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเคยผลิตอย่างไรก็ผลิตอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีความคิดที่จะปรับปรุงหรือทำให้สินค้ามีคุณภาพยิ่งขึ้น เพราะสินค้าแต่ละชนิดจะมีคู่แข่ง ยิ่งคู่แข่งมากเพียงใด ก็ยิ่งจะต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของสินค้าให้เป็นที่พอใจของลูกค้า

            การเลือกใช้วัตถุดิบ การผลิตสินค้า หน่วยงานหรือองค์กรผู้ผลิตจะต้องหาวัตถุใช้ในการผลิตซึ่งถ้าไม่คำนึงคุณภาพของวัตถุดิบ หรือวัตถุดิบคุณภาพ ถ้านำมาทำการผลิตจะทำให้สินค้าที่ผลิตได้ไม่มีคุณภาพ ลูกค้าขาดความเชื่อถือ

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้งานการเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จ

            ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้งานการเพิ่มผลผลิตขององค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ประสบความสำเร็จได้นั้น มีดังต่อไปนี้

                1.จะต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารระดับสูง กล่าวคือ ผู้บริหารระดับสูงจะต้องให้การสนับสนุนในทุกๆด้าน ทั้งเรื่องงบประมาณทั้งการสร้างขวัญกำลังใจให้กับพนักงานตลอดจนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตต่างๆ ของพนักงาน ส่งเสริมและปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตในการทำงาน

             2.บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีในการเอื้ออำนวยต่อองค์กร จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีความพยายามที่จะปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิตในการทำงานมากขึ้น ดังนั้น การสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีก็เพื่อให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีในการทำงานตลอดจนมีการฝึกอบรมและพัฒนาเพื่อให้พนักงานเกิดความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ตลอดจนความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับการทำงาน เกิดความตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตซึ่งเป็นสิ่งสำคัย

               3.พนักงานทุกคนทุกระดับในองค์กรจะต้องถือเป็นข้อตกลงร่วมกันว่า จะมีส่วนร่วมช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องของการปรับปรุงการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิต

           4.การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาว ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานโครงการเป็นไปอย่างแท้จริง องค์กรจำเป็นต้องแต่งตั้งผู้รับผิดชอบและคณะทำงานในเรื่องดังกล่าวขึ้นมา

               5.องค์กรจะต้องสร้างความสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดระหว่าพนักงานและฝ่ายบริหาร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในการเ่งรัดปรับปรุงการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตในการทำงานให้กับองค์กร

               6.การปรับปรุงการทำงานเพื่อการเพิ่มผลผลิตนั้น จะต้องมีการวัดและประเมินผลการทำงานตามวงจรที่ได้กล่าวไปแล้วเพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนในการปรับปรุงวิธิการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตในแต่ละช่วงเวลา 

             7.ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มผลผลิตจะต้องได้รับการจัดสรร แบ่งปันให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม เช่น ฝ่ายเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร พนักงาน ประชาชนทั่วไป ตลอดจนกระทั่งรัฐการเพิ่มผลผลิตจึงจะเกิดประโยชน์บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงร่วมทั้งก่อให้เกิดความร่วมมือกันในการปรับปรุงการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตในระยะยาวต่อไป



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 2 การบริหารงานคุณภาพ

บทที่ 6 การวางแผนพัฒนาคุณภาพการผลิต